หลักการใช้ go , do , play กับกีฬา และกิจกรรม

-
หลักการใช้ go , do , play



"go"   มีความหมายว่า ไป ซึ่งในบริบทนี้ อาจจะมีความหมายว่า ไปที่ไหนสักที่เพื่อไปฝึกทำกิจกรรม หรือ กีฬานั้นๆ

"do"    มีความหมายว่า ทำ ซึ่งในบริบทนี้ อาจจะมีความหมายว่า ทำกิจกรรมนั้นๆ 

"play"  มีความหมายว่า เล่น ซึ่งในที่นี้มีความหมายว่า เล่นกีฬา


 1. การใช้ go   

go ใช้กับกิจกรรม หรือ กีฬาที่ลงท้าย ด้วย ing ซึ่งมีความหมายว่า การไปที่ไหนสักที่เพื่อไปฝึกทำกิจกรรม หรือกีฬานั้นๆ เช่น



    - go jogging          (ไปวิ่งจ๊อกกิ้ง)
    - go running          (ไปวิ่ง)
    - go fishing            (ไปตกปลา)
    - go horse riding    (ไปขี่ม้า)
    - go shopping        (ไปช้อปปิ้ง)
    - go running           (ไปวิ่ง)
    - go dancing           (ไปเต้น)
    - go reading            (ไปอ่านหนังสือ)
    - go skateboarding  (ไปเล่นสเก๊ตบอร์ด)
    - go swimming         (ไปว่ายน้ำ)
    - go bowling             (ไปเล่นโบว์ลิ่ง)


 2. การใช้ do   

do ใช้กับกิจกรรม หรือ กีฬาจำพวกศิลปะป้องกันตัว กิจกรรมที่สามารถทำคนเดียวได้ หรือกีฬาประเภทแข่งเดี่ยว เช่น




    - do archery              (ยิงธนู)
    - do ballet                 (เต้นบัลเล่ย์)
    - do a crossword puzzle (เล่นครอสเวิร์ด)
    - do exercise             (ออกกำลังกาย)
    - do gymnastics        (เล่นยิมนาสติก)
    - do  judo                  (ยูโด)
    - do karate                (คาราเต้)
    - do kung-fu              (กังฟู)
    - do teakwando         (เทควันโด)
    - do yoga                   (โยคะ)
    - do tai chi                 (มวยไท่เก๊ก)
    - do athletics              (กรีฑา)


*** ข้อควรจำ มีกีฬา ing บางชนิดที่ใช้ do เช่น
      - do boxing              (ต่อยมวย)
      - do weightlifting      (ยกน้ำหนัก)
      - do body building    (เพาะกาย)


3. การใช้ play   

play ใช้กับกีฬาใหญ่ๆ กีฬาประเภทที่เล่นเป็นทีมหรือ ประเภทที่ใช้ บอล เช่น
     


    - play tennis             (เล่นเทนนิส)
    - play table tennis     (เล่นปิงปอง)
    - play football            (เล่นฟุตบอล)
    - play volleyball         (เล่นวอลเลย์บอล)
    - play badminton       (เล่นแบดมินตัน)
    - play tennis              (เล่นเทนนิส)
    - play basketball       (เล่นบาสเก็ตบอล)
    - play rugby               (เล่น รักบี้)
    - play cricket              (เล่นคริกเก็ต)
    - play chess               (เล่นหมากรุก)

















































ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Telling the time (การบอกเวลา)

-
รูปภาพ
                 สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้นะคะเราจะมาพูดถึงเรื่องการบอกเวลา หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Telling the time นะคะทุกคน การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษถามและตอบยังไง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้ทุกคนได้กระจ่างไปพร้อมๆกันค่ะ        การบอกเวลามี 2 แบบ มีทั้งแบบ American English และแบบ British English นะคะ หรือเรียกง่ายๆว่า การบอกเวลาแบบง่ายและ การบอกเวลาแบบยาก        วันนี้เราก็เลยนำเทคนิคดีๆเกี่ยวกับการบอกเวลาแบบง่าย หรือที่เรียกว่า การบอกเวลาแบบAmerican English และการบอกเวลาแบบยากหรือที่เรียกว่า การบอกเวลาแบบBritish English  มาฝากทุกคนกันค่ะ การถามเวลา ประโยคที่ใช้ถามว่า เวลาเท่าไหร่แล้วครับ/ค่ะ ถามได้ดังนี้ สำหรับการถามเวลาเราสามารถพูดว่า: 1. What’s the time? 2. What time is it? 3. Do you have the time? 4. Have you got the time? 5. What time do you make it? วิธีหลักๆในการบอกเวลาจะแบ่งเป็น 2 แบบ 1. การบอกเวลาแบบง่าย (แบบ American English)   อย่างที่บอกเลยนะคะคือบอกง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย เห็นเลขอะไรอ่านตัวเลขนั้นเลย มาดูตัวอย่างกันค่ะ  การอ่านเวลา แบบ American Eng
อ่านเพิ่มเติม

Singular and Plural Noun (คำนามเอกพจน์และพหูพจน์)

-
รูปภาพ
Singular and Plural Noun  (คำนามเอกพจน์และพหูพจน์) คำนามเอกพจน์ (Singular Noun)        คือ มีเพียงสิ่งเดียว, อันเดียว เป็นได้ทั้งนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่!!! ถ้าเป็นนามนับได้เอกพจน์ จะมีคำบอกจำนวน คือ a , an และ one เพื่อบอกให้รู้ว่า เอกพจน์นั้น หมายถึง 1 สิ่ง, 1 อัน, 1 อย่าง    ตัวอย่าง คำนามเอกพจน์ คำนามนับได้ 1. a boy              (เด็กผู้ชายหนึ่งคน) 2. a bird               ( นกหนึ่งตัว) 3. an apple         (แอ็ปเปิ้ลหนึ่งลูก) 4. an eraser        (ยางลบหนึ่งก้อน) 5. one animal     ( สัตว์หนึ่งตัว) 6. one book         (หนังสือหนึ่งเล่ม) คำนามนับไม่ได้ 1. sugar      (น้ำตาล) 2. salt           (เกลือ) 3. oil             (น้ำมัน) 4. sand        (ทราย) 5. sauce      (ซอส) 6. water        (น้ำ) คำนามพหูพจน์ (Plural Noun)        คือ มีตั้งแต่สองอย่างขึ้นไป พหูพจน์ บอกให้รู้ว่ามีมากกว่าหนึ่ง สามารถระบุจำนวน อย่างชัดเจนก็ได้ หรือ อาจจะไม่บอกจำนวนที่ชัดเจนก็ได้ แต่มีการเติม s,es ท้ายคำนามนั้นๆ เพื่อบอกจำนวนให้รู้ว่า มีมากกว่า หนึ่ง หลักในการเติม s,es ในคำนามพหูพจน์ การเปลี่ยนคำนาม   เอกพจน
อ่านเพิ่มเติม

หลักการใช้ some กับ any

-
รูปภาพ
หลักการใช้ "Some" กับ "Any" การใช้ Some และ Any      Some และ Any มีความหมายว่า บาง/บ้าง ที่ไม่ได้ระบุจำนวนที่แน่ชัด แต่ทั้ง 2 คำนี้ มีหลักการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่งในวันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันว่า ทั้ง 2 คำนี้ต่างกันอย่างไร some และ any มีวิธีการใช้อย่างไรบ้าง และ เราจะนำทั้ง 2 คำนี้ไปใช้ได้อย่างถูกต้องอย่างไร ไปเรียนรู้พร้อมๆ กันเลยค่ะ 1. การใช้ some      โดยปกติแล้ว some จะใช้ในประโยคบอกเล่า เป็นคำบอกจำนวนที่ไม่ระบุจำนวนชัดเจนของคำนามพหูพจน์ และบอกปริมาณที่ไม่เฉพาะเจาะจงของคำนามนับไม่ได้   some มีความหมายว่า บาง/บ้าง/จำนวนหนึ่ง some ใช้กับ ประโยค บอกเล่า และประโยค คำถาม เชิงขอร้อง หรืออ้อนวอน หรือ ยื่นเป็นการข้อเสนอ เช่น ตัวอย่างประโยคบอกเล่า ที่ใช้ some 1. There are some students in the class. (some+นามพหูพจน์)     (มีนักเรียน บางคน/จำนวนหนึ่ง อยู่ในห้อง) 2. I want some water , please.  (some+นามนับไม่ได้)     (ผมต้องการน้ำครับ) ** some ในที่นี้บอกปริมาณน้ำ   ตัวอย่างประโยคคำถาม   ที่ใช้ some 1. Can I have some water , please?     (ผม ขอน้ำหน่อยได้ไหมครับ) ***
อ่านเพิ่มเติม